ดร.สนอง วงอุไร ดั่ง “หลงทาง” ในฌานและอภิญญา?

มนุษย์ข้างวัด / อุทัย บุญตอนเย็น ดร.แทน สิ่งกลมๆทองคำ เป็นที่รู้จักห้ามดีในแวดวงชาวพุทธผู้สนที่งานฟังคุณความดี จัดตวาดเป็น “มากหลายแสดงธรรม” มนุชเอ็ดแห่งมีความรู้ทางธรรมแนวทาง แดนนรก สวรรค์ และงานเวียนว่ายเสียชีวิตเกิดแห่งสงสารวัฏฏ์ ดร.แทน ไม่เคยบวชดำรงฐานะใหญ่เปรียญ แต่ว่ามีบทบาทในการเปิดเผยฟุ้งกระจายศาสนาพุทธแห่งมีประสิทธิภาพคนหนึ่ง คุณเอ่ยปากธรรมได้รื่นหู ปัจจุบัน ครอบครองวิทยาการหลักสรรพสิ่ง “ชมรมหญิงสาวที่คุณความดี” มุขยูทูป ประกอบด้วยมนุษย์สืบหาฟังแกรายการเว้นดำรงฐานะพันมนุช แกประกอบด้วยการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-โท (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) กับถือสิทธิ์ราคาต้นทุนจากไปทำความเข้าใจประกบชั้นปริญญาเอกที่สถาบันอุดมศึกษาลูกคลื่นที่ดอน ประเทศอังกฤษ แห่งสาขาเชื้อไวรัสวิชา ดำรงฐานะ ดร.ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสาวริเริ่มของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) เป็นคุณครูประจำการที่ มช.กับเกษียณราชการที่นั่น (ยุคปัจจุบัน ชนมพรรษาราวกับ 80 พรรษาเศษ) ขนาดที่จะเกษียณอายุหลังจากนั้น ดร.ตอบสนอง ก็ทำ (บรรยายความถูกต้องไปทั่วประเทศ) ไม่เคยจอดหลวม เพียงไม่ได้เอาแรง เมื่อชันษา พุทธศักราช2518 แกได้บวช (ตรงเวลา 1 จันทร์) สถานที่ตรวจวัดแยกที่ายกบางกอก กับไปฝึกซ้อมขาภาวนาแห่งวัดมหาธาตุฯจริตจันทร์ กับประสกเอ็งเจ้าคุณเทวัญสิทธิทุ่มเทนี (โชครึ้ม ป.ธ.9) สมาธิภาวนาที่นั่น เป็นแถว “ยวบๆนะ-นูนนะ” ซึ่งเสร็จ#ลองมีสติเช่นกันการกำทีดรู้อิริยบถติดสอยห้อยตามหลัก “ใหญ่สติปัฎฐาน” (ตามฉบับร่างพม่า) ประสกเอ็งเจ้าลุกที่โชครึ้ม (ตาย (ใช้กับพระสงฆ์)ต่อจากนั้น) จ้าตวาดครอบครองอาจารย์กรรมฐานสรรพสิ่ง ด็อกเตอร์ตอบสนอง กับดูเหมือนจะ ดร.แทน จะนับหน้าถือตาดำรงฐานะอย่างยิ่ง เป็นพิเศษนับหน้าถือตาแห่ง “เจโตแตกออกยญาณ” (ขีดคั่นรู้ใจ หรือไม่ก็ความคิดสรรพสิ่งผู้อื่น) อันเป็นความรู้อันก่อเกิดจากภาวะจิตสงบภาวะจิตสงบ แห่งเรียกตวาด “อภิญญา” อย่างหนึ่ง (ที่อภิญญา 6) ดร.ตอบสนองกล่าวว่า ประสกเอ็งเองได้กระทำทางสมาธิภาวนาอย่างเข้มงวด กินเวลา 20 ชั่วโมงแห่งทุกวัน (จำวัดเหมือนวันเว้น 4 ขณะ)ข้างใน 7-8 วัน ประสกเอ็งได้ฌาน (อัปแกมาภาวะจิตสงบ) และได้มาลุอภิญญา 5 ถือเอาว่า 1.ชั้นฟ้าหยิ่งต-หูทิพย์ (ได้ยินเสียงแห่งหนเกินพิสัยสรรพสิ่งหูสาธารณะได้ข่าว) 2.มังสวิรัติโตปริยญาณ (กำหนดนั่งในหัวใจหรือว่าสติปัญญาสรรพสิ่งผู้อื่นคว้า) 3. บุพเพนิวาสา นุสสติเตียนญาณ (ระลึกชาติได้) 4. ชั้นฟ้ายดวงตาญาณ-นัยน์ตาทิพย์ (เหลือบเห็นชิ้นแห่งนัยน์ตาทั่วไปมองไม่เห็น อาทิ มองเห็นอสูร ด้วยกันเทพณพื้นแผ่นดินทิพย์ เป็นอาทิ) แห่งจำนวนอภิญญา 5 เช่นนี้ ท่านไม่ไหวกล่าวถึง “อำนาจวิธี” ไม่ก็การละครแรงกระยาเลยได้ อภิญญา 5 กระนี้ ถูกฟ้องแจ้งเยี่ยมสิ่งก่อกำเนิดขนมจากสมาธิ ครอบครองอภิญญาระดับโลกีย์ อภิญญาอีกอย่างหนึ่ง (ที่อภิญญา 6) ลงความว่า “อาสำนักเลขาธิการวุฒิสภาัขยญาณ”(ความรู้ดีเยี่ยมแห่งจ่ายกามตัณหาคว้าทั้งหมด) ดำรงฐานะอภิญญาชั้นกิโลกรัมปดแถบ และดำรงฐานะอภิญญาสิ่งของคู่แค้นยบุคคล ตกว่า โสดาบัน สกิชโลมคาประกอบด้วย อท้องนาคาประกอบด้วย กับพระพุทธเจ้า อภิญญาของศัตรูยคน ครอบครอง “ทรวงุปขว้างพ้นติเตียน” ตกว่าไม่มีการกเจียนเปลี่ยนไป (ภาษามนุษย์ตุ๊ชดใช้วาจาดุ “เปล่าเห่อเหิม”) ซีกอภิญญาสรรพสิ่งปุถุชน (พื้นแผ่นดินิยขวิด) ธารณะ อาจจะกลับกลาย ไม่ก็เสื่อม หรือว่ากลับมาเห่อเหิมคว้าน่าสังเกตอย่างหนึ่งแหว ผู้ดำรงฐานะโสดาบันและสกิอาบค้างประกอบด้วย (รวมจรดอนาติดอยู่มี?) คงไม่ได้สมาธิและอภิญญาใดๆ เสียแต่ว่ากิเลสที่ละได้มาหลังจากนั้น ดำรงฐานะชิ้นเว้นได้เฉียบขาด ไม่กลายเป็นไม่ก็กำเริบคว้าอีก ประกอบด้วยผู้ทะลวง ดร.ตอบสนอง เหตุประกาศ(แห่งการพรรณนาคุณความดีครั้งหนึ่ง) ต้อนรับดุ “สาธารณะคุณปู่สามเณรวาจา “ครอบครองพระศัตรูยคน ทะลวงตวาด ด็อกเตอร์สนอง อีกทั้งเปล่าเป็นศัตรูยคนฉันใดจึงแจ้งดุใครดำรงฐานะอริยคนได้? กรณีตรงนี้ ด็อกเตอร์ตอบสนอง อีกทั้งไม่เคยถ้อถ้อยหรือชี้แจงใดๆ แห่งกาลเวลาพุทธกาล (เมื่อได้มาอ่านที่พระไตรปิฎก) ดูเหมือนจะประกอบด้วยเสียแต่ว่าอรหังเท่านั้นแห่งบอกตวาดใครเป็นอริยบุคคลชั้นไหน (แม้แต่ตุ๊สาวกที่ครอบครองพระอรหันต์ก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครบอกแหวใครคว้าลุคุณความดีดำรงฐานะคู่แค้นยคนระดับไร) ผมมีเสียงดุ อภิญญา 5 แห่งหน ด็อกเตอร์สนองคว้าขนมจากสมาธินั้นเป็นแหล่งหล้าิใบยอภิญญา คงเลือนได้หรือว่ากลับเป็นได้ และตราบที่สืบเสาะฟังก็ไม่เคยได้ข่าวจากปากท่านตวาด จริตครอบครองคู่แค้นยคนชั้นใดๆ การแสดงดุ “หลวงคุณปู่เณรถ้อยคำ” เป็นคู่แค้นยบุคคล (ไม่ว่าจะครอบครองประเภทไหน) น่าจะเป็นความศรัทธาเฉพาะบุคคล กับน่าจะชี้แจงได้มาตวาด ปัญญาแห่งระดับอภิญญา 5 ตรงนั้น คงจะกระทำผิดได้มา คือ สารภาพผิดเจียร น่าจะเป็นงานงดงาม มีอีกเนื้อความหนึ่งแห่งค้างคาอารมณ์ทางใจกระผมอยู่ ลงความว่า “งานอวดน้ำขาวตตริตรองมนุสสธรรมะ” แม้ฆราวาสจักไม่อยู่ภายใต้สิกขาตอน 227 ข้อสิ่งของพระพุทธเจ้าเสียแต่ว่างานอ้างแทนครูหรือว่าแทนภิกษุตนไหน ก็ไม่น่าจะเหมาะสมก็เพราะว่าคำดุ “ข้อกำหนด” ตรงนั้น มิได้เพียงศีลที่พระสงฆ์ปาติโมกข์ (227 ประเด็น) แต่เป็น “ขว้างริอ่านจริงข้อกำหนด” อีก 4 ข้อด้วย ลงความว่า 1.ข้อกำหนดแห่งพระสงฆ์ปาติโมกข์ (สิ่งของพระสงฆ์) 2.อาแม่ชีวปาริอ่านแท้ศีล (มีการเลี้ยงชีวิตแห่งหนเปล่าคด ประกอบด้วยอุบาย เป็นต้น) 3.อินทรียสังวร (ตื่นความชั่วร้ายกัณหธรรมที่จะผ่านมามุขเหนียมอายรูปแตะต้อง) ด้วยกัน 4. วัตถุสักลมมนุษยชาติสิตข้อปฎิบัติ (ศีลที่การชดใช้สอบสิ่งของ 4) ผมมีความเห็นแหว คนเล่าเรื่องธรรมสิ่งของอรหัง แม้จะมิได้พระสงฆ์ ก็จักจำเป็นต้องมีการสงบเงียบชาคริตแห่งเหตุศีลด้วย เกรงตวาด จักก่อกำเนิดข้อเสียหายแก่อาจารย์ได้มา แม้ทางพระสงฆ์เอง ก็ไม่โหยจ่ายอวดอ้างน้ำเมาตตรึกตรองมนูสสธรรม (เป็นต้นว่า ภาวะจิตสงบ ขอโทษบัติเตียน งานบรรลุคุณความดี ฯลฯ เป็นต้น) ทำแทนอาจารย์ประการแห่งก่อกักคุมสิงสู่ มากมายครอบครองสมัยแห่งการสื่อสารแผ่าปกคลุมได้กว้างไกลอย่างปัจจุบันนี้ ก็อุดมลองดูทาบการกล่าวอ้างคุณวิเศษโฆษณาชวนเชื่อเพื่อลาภเคารพบูชาโดยไม่รู้ตัว กถาของ ดร.สนอง ที่กระผมมองเห็นดุ อีกต่างหากเปล่าตรงๆกับที่แท้อีกเหตุหนึ่ง คือ แกมักจะกล่าวถึง คุณครอบครอง “นักพิทยศาสตร์” แม้ว่าผมมองเห็นตวาด ท่านครอบครอง “นิสิตมุขพิทยศาสตร์” ยิ่งกว่า เพราะว่าคุณยังปราศจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ครอบครองสรรพสิ่งตัวเองใดๆ เกิน โหยจะพูดเหตุว่า ในประเทศไทยอีกต่างหากปราศจาก “มากวิชาศาสตร์” เพราะที่สุดยอด อีกต่างหากไม่มีชื่อเสียงเรียงนามนักวิทยาศาสตร์ประเทศไทยแม้แต่เดียว (มองเห็นมีแต่ “ด็อกเโคนร์” ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น (ณวงการแพทย์เสียอีกกลับมีแพทย์ที่มีผลหน้าที่ลองพิสูจน์หรืองานวิจัยเป็นล่ำเป็นสัน) มีความไขว้เขวอย่างหนึ่งของ ด็อกเตอร์แทน หิวจักมอบเข้าใจระดับเดียวกันแหว การกำทีบันดาลใหญ่ยจิตใจเข้าไป-ออก หรือ วิธีอาท้องนาเหมือนสติ ตรงนั้น แห่งไตรปิฎกพ้นไปการภาวนาอีกด้วยวาจาดุ “วันพุธ-โธ” หรือว่าอีกด้วยถ้อยคำแหว “ไหวนะ-นูนหนอ” หรือเช่นกันถ้อยคำดุ “สัมมา-อรหัง” ประกอบด้วยแม้ว่าปันออกขีดคั่นแจ้งลมหายใจเข้าไป-ออกลูก ยาวไม่ก็ห้วนเพียงนั้น การกำครั้งดรู้ลมปราณด้วยถ้อยคำดุ “ปะทุท-โธ” เป็นต้น เป็นเทคนิคหรือวิธีการที่คิดดูขึ้นสมัยหลัง ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะว่ามุ่งจ่ายอารมณ์ทางใจดึ่งสู่ฌานเป็นสำคัญ แห่งหนกล่าวว่า การภาวนาอีกด้วยวาจาตวาด “ปะทุท-โธ” เป็นกรรมวิธีอาทุ่งนาเหมือนสัมปชัญญะณไตรปิฎก ถูกฟ้องเข้าใจผิดของ ดร.แทน การกำหนดลยิ่งใหญ่ยอารมณ์ทางใจ พอหายใจเข้าดุ “พุท” กับครั้นหายใจออกตวาด “โธ” ตรงนั้น เป็นวิธีแห่งหนการกำหนดณพระสงฆ์การเข้าฌานช้าพระอาจารย์มั่น ปัญญาทัตโต ด้วยกันช้าตุ๊ครูเมี่ยง สุภัทโท จะอย่างไรก็ตาม ด็อกเตอร์สนอง ดวงทองคำ ซึ่งได้มาเรียนวิชชาวิทยาศาสตร์ลงมาตั้งแต่ปริญญาตรี จวบจนถึงดุษฎีบัณฑิต ก็ได้ให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แหว เครื่องใช้ไม้สอยทางวิทยาศาสตร์แห่งหนเรียกตวาด กล้องยาสูบบรรจุลทัศน์ตรงนั้นสมรรถขยายภาพปันออกมองเห็นชีพจี๊ดๆแห่งดวงตามองไม่เห็นจดโพกเสมอ อิฉันจึงได้แจ้งดุมีชีวิตแห่งตามองไม่เห็นอีกมากมายกับอีกทั้งเป็นชนิดร่างกายทิพย์ อาทิ อสูรกับเทวะ อีกไม่รู้เท่าไหร่ ซึ่งวิทยาศาสตร์ยังไม่เห็นหรือยังเหลือบเห็นไม่ได้ เจาะจง จิตใจตรงนั้น ดำรงฐานะแรงงานอย่างหนึ่ง ซึ่งวิทยาศาสตร์อีกทั้งไม่สนจิตใจเรียนรู้แสดงว่า อรหังได้มาพบพานชีวิตินทรีย์ที่วิทยาศาสตร์อีกทั้งไม่ผ่านพบ อันเป็นไปมิติอัศจรรย์อีกสูงสุด เป็นเหตุให้ หวนนึก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ ต้นตำรับแนวความคิดสัมพันธภาพ (Theory of relativity) ไม่ก็ที่มาสรรพสิ่งสูตรทางวิทยาศาสตร์ E=mc2 ซึ่งนำไปสู่การพบกรรมวิธีผลิตระเบิดปรมาณู ไอน์สไตน์ใช้ฝันแห่งการ คิดค้นการงานทางวิทยาศาสตร์สรรพสิ่งนกเขา นกเขาก่อกำเนิดฝันจากการอ่านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ลงความว่าจินตนาการแห่งเนื้อความจักรวาลซึ่งประกอบด้วยสิงสู่มากมายที่พระไตรปิฎก ไม่มีเงินเขาใช้คืนวาจาตวาด Cosmic Religion กับดัก พุทธศาสนา ไอน์สไตน์กล่าวว่า ศาสนาพุทธครอบครอง cosmic religion แห่งนัยดุ “ศาสนาแห่งหนจักรวาล” เพราะพระพุทธเจ้าบอกจดจักรวาล (พื้นแผ่นดินแร่ธาตุ)สิ่งนับไม่ถ้วนณมากตุ๊สูตร ที่ “พรหมนิเลี่ยนตัวสูตร” แห่งจารึกจรดวันก่อน กล่าวขวัญสิทธิของพกาพระพรหม (พระพรหมชั้นต่ำมากสิ่งของหมู่พรหมแต่ต้น ลงความว่า พรหมระดับขว้างริสัชเมี่ยง) ตวาดทรงพลังอำนาจคลายจรห่างเท่า 1 โพกหัวจักรวาล ด้านที่ธัมมจะกัปปข้อปฏิบัติตัวสูตร กล่าวว่า ประกาศการข่าวสารหลักคำสอน (ณธัมมจักกัปปข้อปฏิบัติรูปสูตร) สรรพสิ่งพระพุทธเจ้า ลั่นจรถึง “หมื่นพื้นแผ่นดินแร่ (จักรวาล) หรือว่า ไปจด ทสสการหัวเราะถูพื้นแผ่นดินแร่” แสดงว่า มีจักรวาลอักอสงไขย ไอน์สไตน์ ใช้ฝันไตร่ตรองการทำงานวิชาวิทยาศาสตร์ ซีกนักศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยอีกต่างหากโดดข้ามไม่ระเหิด “เหตุหลงเชื่อ” แต่เดิมๆ